บทความ

(รายงานจากเกาหลี วันที่ 4) โซล + Digital pavilion + ตลาดทงแดมุน + ตลาดเมียงดง

นับจากการเดินทางแล้ว นี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้เข้าสู่เมืองหลวงของประเทศเกาหลีใต้ ขอต้อนรับสู่บันทึกการเดินทางเกาหลี By TOT ตอนที่ 4 กันนะครับ

หลังจากตื่นเช้าและรับประทานอาหารเช้าบนโรมแรมเสร็จแล้ว ก็ได้ขึ้นรถทัวร์เพื่อเดินทางท่องเที่ยวต่อนั่นเอง โดยรถทัวร์นั้นได้ขับพาข้ามแม่นํ้าฮัน ซึ่งเป็นแม่นํ้่าที่มีความยาวเป็นอำดับสองของประเทศ มีความยาว 41.5 กิโลเมตร และตลอดข้างทางจะมีสวนสาธารณะอยู่ 12 แห่ง คุณโทนี่ ไกด์ของเราได้บอกว่า ทุกเช้าและทุกเย็นจะมีผู้คนมาออกกำลังกายกันเป็นจำนวนมาก และราคาห้องแถวนี้ก็ราคาแพงมากด้วยเช่นกัน

จริงๆ แล้วโปรแกรมแรกของเรานั้นได้พาไปยังศูนย์โสมเกาหลี ซึ่งถือว่าเป็นสินค้า O-TOP ของเกาหลีกันเลยทีเดียว โดยโสมเกาหลีนั้นที่มีส่งออก จะเป็นโสม 4 ปี แต่ที่มีขายในเกาหลีจะเป็นโสม 6 ปี และโสมเกาหลีนั้นเป็นโสมเย็น ไม่ใช่โสมร้อนเหมือนของจีนตามที่หลายคนเข้าใจผิดกัน ภายในนั้นเราได้มีเจ้าหน้าที่คนไทยได้มาอธิบายถึงที่มาของโสม , การปลูก และประโยชน์ของโสม รวมไปถึงมีโสมมาให้ชิมฟรีและวางจำหน่ายกันด้วย (ราคาเริ่มต้นคือ 3 พันกว่าบาทสำหรับโสมแบบนํ้าเอาไปชง ส่วนโสมที่้ขายดีที่สุดคือแบบแคปชูล แต่จะแพงที่สุดด้วย ราคาประมาณ 5 – 6 พันกว่าบาทถ้าจำไม่ผิด)

จากนั้นไกด์ของเราก็ได้พาไปยังร้านขายเครื่องสำอางของเกาหลีแห่งแรก ซึ่งที่นั่นทำให้คนเขียนได้รู้จัก “ครีมหอยทาก” และ “ครีมนํ้าแตก” (Water Dorp) เป็นครั้งแรกด้วย

มื้ออาหารกลางวันในวันนี้จะเป็นไก่ตุ๋นโสมเกาหลีทั้งตัว แต่ถึงจะบอกว่าทั้งตัว มันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายครับ (อารมณ์ประมาณ 2 ใน 5 ของไก่บ้านเรา) โดยเมื่อแหวกไก่ออกมาแล้วจะเป็นข้าวใส่ข้างใน สามารถใส่เส้นที่คล้ายๆ กับขนมจีนลงไปด้วย ส่วนรสชาตินั้นอารมณ์ประมาณข้าวต้มกระดูกหมู เพียงแต่เปลี่ยนเป็นไก่และมีโสมใส่ลงไปแทน


สถานที่้เที่ยวต่อมานั้นก็คือ พิพิทธภัณฑ์ Digital Pavilion หรือบ้านแห่งอนาคต ซึ่งข้างในจะเป็นการโชว์เทคโนโลยีต่างๆ ที่ปกติเราเห็นแต่ในหนัง Sci-Fi หรือในกระเป๋าโดราเอมอน แต่สามารถทำได้จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็น TV 3 มิติที่สามารถรันภาพสามมิติออกมาได้เลย , เครื่องสแกนสุขภาพที่จะบอกปริมาณแคลอรี่ในร่างกายเราว่าต่างจากสัปดาห์ก่อนยังไง และสามารถเอาผลการตรวจไปพบกับหมอผ่านระบบกล้องได้ทันทีโดยไม่ต้องพบหมอ

ระบบโทรทัศน์กระจก โดยกระจกที่เห็นด้านหน้านี้เราสามารถปรับให้มันเป็นโทรทัศน์ได้ และสามารถดูได้จริงๆ รวมไปถึงสามารถเปลี่ยนวิวฉากจอ TV ข้างหน้าได้อีกด้วย

อีกตัวอย่างที่้พอสามารถเอามาให้ดูได้ก็คือ เราสามารถสร้างสัตว์แล้วจับให้มันเข้าไปในจอ TV ใหญ่ๆ ได้ซึ่งเราสามารถระบายสีหรือทำลวดลายบนตัวสัตว์ได้ตามใจชอบ แถมสามารถเอามือไปตบๆ เพื่อแกล้งมันได้ด้วย โดยเทคโนโลยีทั้งหมดนี้สามารถทำได้แล้วจริงๆ และสามารถจ้างให้ทีมงานเขาไปทำให้ถึงบ้านได้เลย แต่งบประมาณคงจะสูงมากๆ

ในช่วงเวลา ไกด์ได้พาคณะทัวร์ฝ่าดงรถติดกลางเมืองมายังตลาดทงแดมุน หรือประตูนํ้าเกาหลี ซึ่งเป็นห้างที่มีขายเสื้อผ้าหลากหลายเบรน (บางอย่างก็ถูกกว่าเรา บางอย่างก็แพงกว่าเรา เช่น ชุดนอนสัตว์ ที่นู่นขาย 750 บาท แต่ในไทยขายพันกว่าบาท) อารมณ์ข้างในห้างเหมือนแพตตินั่ม ประตูนํ้าบ้านเราเด๊ะ คือจะมีคนเยอะมาก ทางเราเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู และแถวนี้มีร้านขายเครื่องสำอางราคาถูกและของแถมเยอะด้วย เป็นร้านสีชมพู อยู่ซอยทางซ้ายนับจากห้างนี้

ด้วยการที่คนเขียนไม่ใช่นักช็อป และไม่รู้จะทำอะไรระหว่างรอ คนเขียนเลยออกไปเดินสำรวจแถวนี้ และค้นพบสถานที่ที่อยากมาดูโดยบังเอิญ นั่นก็คือ คลองชองเกชอน หรือคลองแสนแสบบ้านเขา ซึ่งในอดีต เป็นแหล่งเสื่อมโทรมมาก แต่ได้มีการรื้อฟื้นพัฒนาใหม่ จนออกมาอีกที นํ้าใสกิ๊ง อากาศสดชื่นมาก


ตอนนั้นมีการเผยแพร่ศาสนาอยู่พอดี ได้รับหนังสือ (อ่านไม่ออก) มาเล่มนึง และเค้กข้าวมาด้วย อารมณ์ประมาณขนมเข่งบ้างเรา แต่จะไม่เหนียวเท่าขนมของบ้านเรา รสชาติอารมณ์คล้ายหมั่นโถเนี่ยแหละ


นํ้าใสมากจนมองเห็นปลาว่ายกันเลย ไม่น่าเชื่อว่านี่มันคือกลางใจกลางเมืองหลวงที่ข้างบนรถกำลังติดและพ่นควันกันอยู่




หลังจากนั้นก็ได้พาไปรับประทานอาหารเย็นกันที่ห้าง Non Square ซึ่งชั้นบนนั้นเป็นร้านอาหารบุฟเพ่ต์นานาชาติ มีอาหารให้เลือกหลากหลายมาก ทั้งอาหารเกาหลี , อาหารฝรั่ง , อาหารญี่ปุ่น (ไม่มีไทย) ซึ่งมีบะหมี่ดำ (จาจังเมียน) บะหมี่คนโสตอยู่ด้วย

และไฮไลท์คือ ขาปูอลาสก้าขนาดยักษ์ คนเขียนซัดไปประมาณเกือบ 20 ขาได้ อร่อยมาก





หลังจากอิ่มกันแล้ว ทางคนเขียนได้มีเวลาอิสระในการเดินเที่ยวตลาดเมียงดง ซึ่งถือว่าเป็นสยามสแคว์เกาหลี ซึ่งมีของขายมากมาย ทั้งปลอกมือถือ , เสื้อผ้า , กระเป๋า , รองเท้า , ตุ๊กตา รวมไปถึงร้านเครื่องสำอางที่มีพนักงานมายืนเรียกลูกค้าเพียบ













ด้วยการที่คนเขียนไม่ใช่ขาช็อปอีกนะแหละ ไม่รู้ว่าจะทำอะไร เลยไปทำสิ่งที่อยากรู้มากที่สุดที่มาเยือนเกาหลีอย่าง นั่นก็คือ ร้านเกมเกาหลีนั่นเอง โดยทางคนเขียนได้ขึ้นไปลองเล่นที่ร้านอินเตอร์เน็ตเกาหลี ซึ่งก็พบว่าราคาชั่วโมงละ 1,500 วอน (ประมาณ 45 บาท) แต่จ่ายไป 2,000 วอน กลับไม่ยอมคืนเงินมา 500 วอนซะงั้น (อารมณ์ประมาณเห็นว่าเป็นคนต่างชาติ) ส่วนสเปคคอมนั้นก็ตามในรูปนี้เลย


ก่อนที่จะกลับไปยังจุดนัดพบ ก็ได้ไปลองกินไอศครีมที่สูงถึง 32 เซนติเมตร ราคา 2,000 วอน (60 บาท) ซึ่งก็อร่อยดีอะนะ แต่ละลายเร็วไปหน่อยไหม ?

และสำหรับบรรยากาศของการบันทึกการเดินทางในวันที่ 4 ก็จบลงเพียงเท่านี้ และสำหรับตอนต่อไปจะเป็นตอนจบของการเดินทางแล้วนะครับ สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอขอบคุณทางบริษัท ทีโอที ที่สนับสนุนการเดินทางมา ณ ทีนี้ด้วยนะครับ

Leave a comment