ติดตามเรา
Hot News IT / Gaming Gear

(รีวิวเกมมิ่ง) HyperX Alloy Elite อาวุธสำหรับเกมเมอร์ทั้งงานและ FPS! (รุ่น Red Switches)

สำหรับส่วนตัวคนเขียนเองแล้ว คนเขียนไม่เคยลองใช้ของจากทาง Hyper X มาก่อน ซึ่งเจ้าคีย์บอร์ด HyperX Alloy Elite นี้ถือได้ว่าเป็นเกมมิ่งเกียร์จากทาง HyperX ตัวแรกที่ได้ลองจับเล่นดู และหลังจากที่ใช้งานมาซักระยะหนึ่งก็ต้องบอกว่า มันเป็นหนึ่งในอาวุธที่เล่นได้เจ๋งมากทั้งสายทำงานและสายเล่นเกม โดยเฉพาะคอเกม FPS เลยทีเดียว และเราก็จะมารีวิวตัวนี้กันครับ

ความสามารถเฉพาะ
– แถบไฟพิเศษและเอฟเฟกต์ไฟแบบไดนามิคหกรูปแบบ
– โครงเหล็กเนื้อตัน
– สวิตช์ปุ่มกดรุ่น CHERRY® MX ทนการกดกว่า 50 ล้านครั้ง
– ปุ่มมีเดียเฉพาะพร้อมแป้นหมุนปรับระดับเสียงขนาดใหญ่
– ปุ่มใช้งานด่วนสำหรับปรับความสว่าง ควบคุมเอฟเฟกต์แสงและโหมดเล่นเกม
– เชื่อมต่ออุปกรณ์ได้อย่างสะดวกผ่าน USB 2.0 pass-through
– ฟังก์ชั่น Anti-Ghosting 100% ร่วมกับ N-Key Rollover
– ที่พักมือแบบถอดแยกได้และให้ความรู้สึกสบาย พื้นผิวเคลือบเป็นแบบเนื้อนุ่ม
– ฝาครอบปุ่มมีเนื้อสัมผัสแบบพิเศษ สีไทเทเนียม จำหน่ายพร้อมอุปกรณ์ถอดฝาครอบปุ่มจาก HyperX

สำหรับตัวคีย์บอร์ดตัวนี้จะเป็นคีย์บอร์ดประเภทปุ่มไม่เรียบ คือตัวปุ่มของคีย์บอร์ดนั้นจะไม่ได้แบนเรียบกับแป้น แต่จะมาเป็นปุ่มๆ ซึ่งบอกก่อนนะครับว่า คีย์บอร์ดลักษณะนี้เนี่ย ต่อให้สวิตซ์ออกแบบมาให้มีเสียงกดเบายังไง จิ้มยังไงก็มีเสียงครับ โดยเฉพาะคนไหนที่พิมพ์รัว ดังนั้น เบื้องต้น คนไหนที่ชื่นชอบคีย์บอร์ดแบบกดแล้วมีเสียงจะตอบโจทย์ แต่ถ้าคนไหนชอบเงียบๆ จะไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ครับ

ตัวคีย์บอร์ดรุ่นที่ทางเราได้มาทดสอบนั้นเป็นรุ่น Red Switches ซึ่งเป็นสวิตซ์ที่เน้นตอบสนองไว (ตัวนี้จะมี 3 สี สีนํ้าเงินเน้นความแม่นยำ และสีนํ้าตาลเน้นความสบาย) และส่วนตัวคนเขียนเป็นคนที่ชอบการรัวพิมพ์ไวๆ อยู่แล้ว ดังนั้น ตัวคีย์บอร์ดตัวนี้จึงออกแบบมาได้ค่อนข้างสนองติ่งการใช้งานของคนเขียนได้เป็นอย่างดี คือสามารถรัวการกดได้โดยไม่ต้องกลัวว่าคีย์บอร์ดจะพังหรือปุ่มกระเด็น และคนเขียนเองบ่อยครั้งก็จะชอบกดหลายปุ่มพร้อมกัน ซึ่งก็ไม่มีปัญหาเรื่องคีย์บอร์ดซ้อนปุ่มแต่อย่างใดเลย คือกดได้เลย รัวได้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวมันพัง อย่าไปทุบมันก็พอ

สิ่งที่คนเขียนค่อนข้างชื่นชอบก็คือ ตัวปุ่มนั้นไม่ใช่แต่รัวหรือกดได้หลายปุ่มอย่างเดียว แต่มันตอบสนองได้ดีด้วย คือตำแหน่งการวางของปุ่มนั้นทำออกมาได้เหมาะสมมาก ออกไปในทางเหมาะสำหรับมือผู้ชายด้วยซํ้าเพราะเป็นคีย์บอร์ดที่มีขนาดใหญ่ (อันนี้เป็น Feel ความรู้สึกนะครับ แต่คุณผู้หญิงหากนำไปใช้บ่อยๆ ก็จะชินมือเอง) ปัญหาของคีย์บอร์ดบางรุ่นคือ มักจะชอบเพิ่มปุ่มเกินความจำเป็นมา ไม่ก็มีระยะของปุ่มไม่เหมาะสม ทำให้เวลาเรากดพิมพ์โดยไม่มอง จะเผลอกดผิดได้ง่ายๆ และขนาดความยาวของแป้นคีย์บอร์ดที่ยาวกว่าคีย์บอร์ขนาดเล็ก ทำให้ สามารถกดจิ้มได้ถนัดและโอกาสพลาดจะน้อยกว่า ถ้าว่าตรงๆ ก็คือ ตัดปุ่มที่ไม่จำเป็นออกไป แล้วเอาปุ่มที่ใช้งานจริงๆ มาวางไว้

มีแถมปุ่มและตัวดึงมาให้ด้วย

และอีกเรื่องก็คือ ปุ่มคีย์บอร์ดตัวเนี่ยมันถอดออกมาง่ายมาก และตรงตัวสวิตซ์มันนั้นไม่มีรูอะไรให้ฝุ่นเข้าไปได้เยอะเท่าไหร่ ทำให้สามารถแกะออกมาทำความสะอาดได้ง่ายมาก แค่เป่าฝุ่นก็จบละมั้ง แถมตัวคีย์บอร์ดนั้นเป็นเหล็ก แน่นอนว่ามันหนัก แต่ข้อดีคือมันจะไม่เคลื่อนไปไหนมาไหนเลย นี่ขนาดคนเขียนต้องเอาคีย์บอร์ดวางทับโน๊ตบุคส่วยนึงเพราะโต๊ะขนาดที่ไม่พอ มันยังไม่เคลื่อนที่เลย เจ๋งไหมล่ะ ?

ฟังก์ชั่นเสริมของคีย์บอร์ดตัวนี้ที่ชื่นชอบจะมีสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือพวกปุ่มมีเดีย หรือก็คือปุ่มกดฟังเพลง ปกติแล้วคนเขียนเป็นคนที่ชอบฟังเพลงตลอดเวลา โดยปกติแล้วคนเขียนจะบังคับเพลงด้วยเม้าท์ แต่คีย์บอร์ดตัวนี้จะมีฟังก์ชั่นปุ่มกดมีเดียจะย้ายไปอยู่บนขวา แทนที่ปกติมักจะชอบไปรวมกับพวกปุ่ม F1 F2 F3 อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวคนเขียนเลยนะครับ บางครั้งการที่ปุ่มมันชอบไปอยู่รวมกับ F1 F2 F3 มันจะไปรบกวนการทำงานของปุ่มหากว่าเราใช้โปรแกรมที่ต้องใช้ปุ่มดังกล่าว แต่พอมันแยกออกมาต่างหากไม่เกี่ยวกัน สิ่งที่เกิดขึ้่นคือ สามารถกดปุ่ม เปลี่ยนเพลง หลุดเพลง ได้ง่ายมาก แถมมีเพิ่มตรงเป็นลูกหมุนๆ เพิ่มปรับระดับเสียงได้ง่ายอีกด้วย คือจากเดิมที่เราต้องไปคอลโทรลในคอม ไม่ต้องเลยครับ หยุดตรงนั้นแล้วไปคอลโทรลผ่านคีย์บอร์ดเอาเลย ง่ายที่สุด สะดวกที่สุด โดนใจคนชอบฟังเพลงในคอมมาก

อีกเรื่องก็คือ ดูผ่านๆ มันคือคีย์บอร์ดแบบไม่มีที่รองมือ แต่เปล่าครับ จะมีแป้นรองข้อมือแถมมาให้ และสามารถแกะถอดใส่ได้เองด้วย โดยวิธีการใส่นั้นก็แค่ยัดตัวเหนี่ยวเข้าไปข้างในก็จบละ และตัวที่รองข้อมือนั้น จากที่ทดลองใช้ก็พอดีกับขนาดข้อมือของคนเขียนนะครับ แถมมีที่กันลื่นมาให้หน่อยๆ ด้วยิ แต่มันคือพลาสติก หากกระแทกอะไรมันแรงๆ ก็มีสิทธิหักได้เหมือนกัน ซึ่งแตกต่างจากตัวคียบอร์ดที่เป็นเหล็ก ดังนั้นสิ่งที่ต้องระวังคืออย่าเอาไปวางตรงขอบโต๊ะหรือจุดที่จะเกิดการกระแทกได้ แต่ข้อดีของมันก็คือ มันทำให้กลายเป็นคีย์บอร์ดที่รองรับได้ทั้งแบบไม่มีที่รองข้อมือกับต้องการที่รองข้อมือ แล้วแต่ว่าผู้ใช้จะหยิบเอาไปใช้บนที่วางแบบไหนนั่นเองครับ

อีกเรื่่องที่ต้องบอกก็คือ ตรงสายนั้นจะเป็นสายถักที่หนามาก คือมันหนาชนิดที่ว่าคนไหนใช้เก้าอี้มีล้อแล้วชอบเลื่อนไปทับสายบ่อยๆ ไม่ต้องห่วงเลย เพราะมันไม่ขาดหักง่ายๆ แน่นอน มาพร้อมกับหัวเสียบ USB สองอัน ซึ่งแนะนำว่า ต้องเสียบทั้งสองอัน เพราะไม่งั้นมันจะไปดึงไฟจากเครื่องไม่พอแล้วจะส่งผลกระทบทำให้การเล่นเกมบางเกมช้าลง (คนเขียนลองแล้ว ก็ว่าทำไมตัวละครเกม OVERWATCH ถึงโหลดไม่มาตอนต้นเกม) แต่ถ้าเอามาทำงานปกติ เช่นเอามาพิมพ์งาน ตัดต่อ หรือเล่นเกมเบาๆ ที่ไม่ได้ใช้สเปค (หรือกินไฟ) มาก ก็เสียบ USB ตัวเดียวก็เอาอยู่ละครับ

 

สุดท้ายนี้ก็มาเรื่องของไฟ ซึ่งเอามาพูดสุดท้ายเพราะมันคือความสวยงาม ไฟของคีย์บอร์ดตัวนี้ความเจ๋งของมันก็คือ เราปรับได้เองบนคีย์บอร์ดเลย ไม่มีผ่านโปรแกรมใดๆ ทั้งสิ้นให้ยุ่งยาก โดยจะมีปุ่มปรับความสว่าง , ปรับลูกเล่นไฟ และปุ่มเข้าโหมดเกมสามปุ่มแยกกัน โดยสามารถปรับความสว่างของไฟได้ 3 ระดับ แล้วแต่ว่าสายตาของคนเล่นจะทนรับแสงได้ขนาดไหน (ตรงๆ ว่า ถ้าเปิดไฟสว่างสุดทุกปุ่ม ตาคนเขียนนี่แอบเกือบลายได้เหมือนกันเพราะมันสว่างมาก) และสามารถปรับรูปแบบไฟได้ถึง 7 แบบเลยทีเดียว ดูได้ตามภาพด้านข้างเลยครับ (ภาพที่คีย์บอร์ดไม่มีสีนั้น เวลาเราจิ้มๆ จะมีไฟขึ้นมาจากปุ่มที่เรากดด้วยนะเอ้อ)

โดยรวมแล้ว จากการลองใช้งานทั้งหมด 1 – 2 วัน คนเขียนค่อนข้างประทับใจในเรื่องของการใช้งานมากกว่าไฟ คือ ไฟมันก็สวยดีนะ แต่ถ้ามองในแง่ของการใช้งาน มันตอบโจทย์สูงมาก อย่างเช่นเวลาเอาไปเล่นเกมอย่าง OVERWATCH เนี่ย ขนาดคนเขียนไม่ถนัดปุ่มแบบปุ่มลอย ก็ยังเล่นได้ไม่มีสะดุด (ถึงจะแพ้เพราะทีมเล่นแปลกๆ ก็เหอะ) การตอบสนองทุกอย่างมันเอาใจคนเขียนที่ชื่นชอบการจิ้มรัวมาก ยิ่งพิมพ์ยิ่งมัน แถมปุ่มฟังเพลงอันนี้คือชอบจริงๆ ทุกอย่างทำบนคีย์บอร์ดจบ ไม่ต้องไปกดเม้าท์บน PC ให้เสียเวลา สุดท้ายคือที่พักข้อมือที่มันตอบโจทย์จริงๆ ส่วนเรื่องไฟ คนเขียนมองว่ามันคือของแถมแต่มันก็สวยดี ตัวคีย์บอร์ดตัวนี้ตอบโจทย์แน่นอน สำหรับคนเล่นที่ชื่นชอบความทนคง แข็งแรง ปุ่มรัวมัน (แต่มีเสียง) และทุกอย่างจบหมดบนคีย์บอร์ดครับ

จุดเด่น
– การตอบสนองดีมาก ไวมาก กดได้พร้อมกันไม่ต้องกลัวมันรวน
– ขนาดตำแหน่งของปุ่มทำออกมาดีมาก พอดี ไม่สั้นไป กดผิดน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคีย์บอร์ดขนาดเล็ก
– ตัดปุ่มไม่จำเป็นออก ทำให้ใช้งานง่าย
– ปุ่มมีเดีย (เพลง) แยกออกมาต่างหาก ปรับเสียงก็แยกออกมาต่างหาก ทำทุกอย่างจบบนคีย์บอร์ด
– ตัวคีย์บอร์ดเป็นเหล็ก แข็งแรง ทนทาน แถมสวิตซ์ไม่มีรูให้ฝุ่นเข้าไป แกะปุ่มออกมาทำความสะอาดง่ายมาก
– การกดเล่นไฟทำได้ง่าย ทุกอย่างจบบนคีย์บอร์ดจริงๆ ไม่ต้องลงอะไรเสริมเลย

ข้อเสีย
– เป็นคีย์บอร์ดแบบปุ่ม ไม่ได้ราบไปกับแป้น ทำให้กดแล้วมีเสียง ไม่ตอบโจทย์กับคนที่ชอบกดแล้วเสียงเบาๆ
– ตัวที่รองข้อมือเป็นพลาสติก กระแทกแรงๆ ดูแลไม่ดีอาจแตกหักง่าย
– ไฟมีแต่สีแดง อาจจะไม่ถูกใจคนที่ไม่ชอบสีแดง
– การที่ต้องเสียบ USB ถึงสองช่อง จะทำให้เหลือช่องเสียบ USB น้อยลง
– คีย์บอร์ดมีขนาดใหญ่ ขนย้ายลงกระเป๋าจะลำบาก ต้องเป้ใหญ่ๆ

สำหรับ HyperX Alloy Elite นั้นมีวางจำหน่ายแล้วตามร้าน IT ชั้นนำทั่วไป (หรือตามลิ้งข้างล่างนี้ได้เลย) ในราคาอยู่ที่ 3,990 บาท สำหรับคนไหนที่สนใจ เข้าไปกดซื้อได้เลยนะครับ และติดตามข่าวสารอัพเดตผลิตภัณฑ์ของทาง HyperX ได้ ที่แฟนเพจ หลัก ได้เลย สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทาง HyperX สำหรับตัวคีย์บอร์ดที่ให้ทางเรามาทดสอบด้วยนะครับ

 

 

Leave a comment

บทความอื่นที่อาจสนใจ